"ไอ้บ้า"
ใครๆ ก็เรียกผมแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่ผมแทบไม่รู้เลยว่าทำไมเขาหาว่าผมบ้า เพียงแค่เด็กคนหนึ่งมีความคิดไม่เหมือนคนอื่น จนถูกเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวในหมู่บ้านมองว่า "บักขวางโลก" บางทีเขาไม่ให้ผมเข้ากลุ่มด้วยก็หลายหน จะเรียกว่า "บักขี้ดื้อ" คงไม่แปลก
ผมชื่อ หิน - ชนะชัย แก้วผาง ปัจจุบันทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวภาคสนามของบริษัทมีเดียสตูดิโอจำกัด (บริษัทลูกของสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี ) ผลิตรายการข่าวเช้านี้ที่หมอชิต และรายการประเด็นเด็ด 7 สี
กว่า 8 ปีแล้วที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับการเป็นนักข่าว นับตั้งแต่จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาภาษาไทย จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อปี 2552 หลายคนอาจสงสัยว่าสาขาที่ผมเรียนมันเกี่ยวอะไรกับสายทีวี ทั้งที่ผมเองไม่มีความรู้เกี่ยวกับนิเทศศาสตร์โดยตรง แต่สิ่งที่เรียนมามันเน้นหนักไปทางวิชาการเขียนมากกว่าด้วยซ้ำ ผมควรต้องไปเป็นนักเขียน นักข่าวหนังสือพิมพ์ นักเขียนคอลัมน์ ฯลฯ อะไรแบบนั้นมากกว่า
ใช่ครับ ผมก็คิดแบบนั้น แบบที่หลายคนคิด แต่ใครจะไปรู้ว่า 4 เดือนของการมาฝึกงานในสายทีวีกับ 4 ปีในการเรียนด้านภาษาอย่างลึกซึ้ง มันสามารถเปลี่ยนคนคนหนึ่งได้อย่างจริงจังนะ อยู่ที่เราจะเลือก เพราะบางทีเวลา 4 เดือนมันนานพอที่สามารถทำให้เราฝึกฝนตัวเองจนกลายเป็นนักข่าวทีวีได้จริง
เอาจริงๆ มันไม่ได้ง่าย แต่ไม่ได้ยากสำหรับคนที่มีความฝันและเป้าหมายชัดเจน ถ้าเราคิดเสมอว่า จุดยืนของเราใช่แล้ว ต่อไปก็แค่เดินตรงไปหาฝันที่เราตั้งไว้ พูดไปเหมือนจะง่าย แต่อย่างน้อยมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นในสายงานนักข่าวทีวีของผมได้จริงๆ จังๆ
"เอ็งจะเขียนนวนิยายมาส่งหรือยังไง เอ็งไม่ดูภาพที่ได้มาเลย แบบนี้ใช้ไม่ได้นะ"
ผมจดจำคำสอนนี้จากพี่ชายคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี เพราะมันได้กลายเป็นทั้งคำสอน และคำด่า ที่ทำให้ผมคิดเสมอว่่า ถ้าผมปรับภาษางานเขียนที่เรียนมา เพื่อเล่าภาพให้คนดูเข้าใจ ผมจะเป็นนักข่าวทีวีได้ตามความฝัน แต่กว่าจะทำได้ทำเป็น มันไม่ได้แค่นั่งเขียนดูภาพนี่ซิ มันมีอะไรที่มากกว่านั้น
"คนเรามันต้องบ้ากันบ้าง"
ผมเริ่มนึกถึงคำเปรยของครูพ่อ ธัญญา สังขพันธานนท์ หรือ ไพฑูลย์ ธัญญา นักเขียนเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์ จากเรื่องก่อกองทราย ปัจจุบันแก คือศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ครูที่เริ่มสอนงานเขียนให้ผมตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัย
ผมต้องบ้า บ้าเพื่อความฝันของผม ผมเริ่มบ้า
ความบ้าของผมเกิดขึ้นตั้งแต่การเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์ 10 ฉบับต่อวัน อ่านบทข่าวของพี่ๆ วันละ 20 บท การโทรหาแหล่งข่าววันละ 10 กว่าคนในวันเดียว ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่เราทำจะสร้างฝันได้ยังไง? จนกระทั่งความฝันมันเริ่มเดินทางและโบยบิน
ผมเริ่มห้อยติดรถข่าวไปกับพี่นักข่าว มนตรี อุดมพงษ์ หรือ พี่มนตรี ซึ่งปัจจุบัแกเป็นผู้ประกาศข่าวภาคสนามที่รายการข่าว 3 มิติ ช่อง 3 แต่ในอดีตแกคือนักข่าวต้นแบบของผมในรายการประเด็นเด็ด 7 สี และรายการเจาะเกาะติดทางช่อง 7
"สิ่งที่จะทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว คือการสังเกต และจดจำ"
นั่นเป็นคำสอนง่ายๆ จากพี่ชายร่วมสาขาสถาบันเดียวกัน อาจเป็นเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ผมเริ่มยกแกเป็นต้นแบบ เอาง่ายๆ พี่ทำแบบไหน ผมก็ทำแบบนั้น ถ้าพูดง่ายก็คือ เลียนแบบนั่นแหละ
ผมพยายามเลียนแบบพี่มนตรี แม้ว่าจะเลียนแบบได้ไม่เหมือนมาก แต่อย่างน้อยก็เป็นวิธีเรียนรู้ทางลัดที่ผมคิดว่าวิธีนี้ดีสุด จากนั้นผมก็ค่อยๆ เลียนแบบพี่นักข่าวเก่งๆ อีกหลายคน จนพี่ๆ บอกว่า ผมมีลูกบ้า
กระทั่งปลายปี 2552 หรือประมาณ 8 ปีก่อนหน้านี้ ผมถูกเรียกตัวให้ไปเป็นนักข่าวในบริษัทมีเดียออฟมีเดีย หรือ บริษัทมีเดียสตูดิโอ จำกัด ในปัจจุบัน เท่ากับว่า ผมเป็นทั้งน้องฝึกงาน และได้เป็นพนักงานในบ้านหลังนี้ ทั้งที่ผมยังไม่รับปริญญาด้วยซ้ำไป หนักกว่านั้น คือ ผมยังทำข่าวไม่ค่อยจะเป็นเอาซะเลย
"ถ้าเอ็งเริ่มหาประเด็นได้ เอ็งต้องวางโครเรื่อง และพูดคุยประสานแหล่งข่าวให้ได้ เอ็งไม่ใช่เด็กฝึกงานแล้ว เอ็งจะเล่นๆ ไม่ได้แล้ว เอ็งเป็นพนักงาน เป็นนักข่าวตัวจริงแล้ว ต่อไปงานของเอ็งไม่ได้ทำเก็บไว้ดูเล่น แต่มันต้องได้ออกอากาศ ถ้างานไม่ได้ออกอากาศ นั่นแสดงว่า ข่าวเอ็งไม่เข้าตากองบรรณาธิการ"
ผมรู้สึกกดดันตัวเองเมื่อผู้บริหารเปรยบอกกับผมแบบนั้น เอาจริงๆ ผมไม่ใช่คนกล้าหาญอะไรมาก และยังไม่พร้อมจะลงสู่สนามข่าว ผมยังไม่พร้อม ผมยังคิดว่าผมเป็นน้องฝึกงาน แต่เมื่อคิดถึงความฝัน คิดถึงโอกาสที่พี่ๆได้มอบให้เด็กบ้านๆอย่างผม มันก็ควรจะแลกด้วยความบ้า
ลูกบ้าของผมเดินทางอีกขั้น
"รับแจ้งจาก จส. 100 มีคนร้ายหลบหนีด่านตรวจค้น ขับรถวิ่งหลบหนีไปทางเกษตร-นวมินทร์ ขณะนี้ตำรวจ และอาสาสมัครกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด"
ผมกับพี่วัช อดีตนักข่าวอวุโสรายการประเด็นเด็ด 7 สี กำลังขับรถอยู่บนเส้นทางเกษตร-นวมินทร์พอดี
""ไอ้หิน เอ็งหยิบกล้อง แล้วถ่าย เอาเสียงวิทยุด้วยนะ"
พี่วัชบอกผม ระหว่างที่แกขับรถทำความเร็วประกบท้ายรถตำรวจ และคนร้าย
"แล้วเอ็งทำไมเอากล้องไปจ่อกับลำโพรงวิทยุแบบนั้น ? พี่ให้แกถ่ายข้างหน้า"
"เห็นพี่บอกให้น้องเอาเสียง ผมก็เลยเอากล้องมาจ่อกับลำโพรง"
"มึงนี่มันบ้าจริงๆ เอาภาพด้วยเสียงด้วย มึงไม่จ่อลำโพรงกล้องมันก็เก็บเสียง นี่มันจะถึงแล้ว คนร้ายวิ่งแล้ว ไอ้หินมึงลงวิ่งตามถ่ายเลย วิ่งๆๆๆๆๆๆๆ"
ผมวิ่งตามคนร้าย ที่จอดรถวิ่งหลบหนีไปในป่าหญ้าริมถนน เสียงปืนดังขึ้น ผมถือกล้องชูเหนือหัว มือกดบันทึก ตัวผมแอบติดกำแพงรั้ว หลับตา แต่ภาพที่ได้มา มันกลายเป็นภาพจริง ที่ตำรวจยิงปะทะกับคนร้ายอยู่นาน
"ผมบ้าแล้ว"
ผมจึงใช้ลูกบ้าให้เกิดประโยชน์กับการเป็นนักข่าวตั้งแต่นั้นมา ลูกบ้ากับงาน บ้ากับความฝันของตัวเอง
"คนเรามันต้องบ้ากันบ้าง"
ใครๆ ก็เรียกผมแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่ผมแทบไม่รู้เลยว่าทำไมเขาหาว่าผมบ้า เพียงแค่เด็กคนหนึ่งมีความคิดไม่เหมือนคนอื่น จนถูกเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวในหมู่บ้านมองว่า "บักขวางโลก" บางทีเขาไม่ให้ผมเข้ากลุ่มด้วยก็หลายหน จะเรียกว่า "บักขี้ดื้อ" คงไม่แปลก
ผมชื่อ หิน - ชนะชัย แก้วผาง ปัจจุบันทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวภาคสนามของบริษัทมีเดียสตูดิโอจำกัด (บริษัทลูกของสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี ) ผลิตรายการข่าวเช้านี้ที่หมอชิต และรายการประเด็นเด็ด 7 สี
![]() |
กว่า 8 ปีแล้วที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับการเป็นนักข่าว นับตั้งแต่จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาภาษาไทย จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อปี 2552 หลายคนอาจสงสัยว่าสาขาที่ผมเรียนมันเกี่ยวอะไรกับสายทีวี ทั้งที่ผมเองไม่มีความรู้เกี่ยวกับนิเทศศาสตร์โดยตรง แต่สิ่งที่เรียนมามันเน้นหนักไปทางวิชาการเขียนมากกว่าด้วยซ้ำ ผมควรต้องไปเป็นนักเขียน นักข่าวหนังสือพิมพ์ นักเขียนคอลัมน์ ฯลฯ อะไรแบบนั้นมากกว่า
ใช่ครับ ผมก็คิดแบบนั้น แบบที่หลายคนคิด แต่ใครจะไปรู้ว่า 4 เดือนของการมาฝึกงานในสายทีวีกับ 4 ปีในการเรียนด้านภาษาอย่างลึกซึ้ง มันสามารถเปลี่ยนคนคนหนึ่งได้อย่างจริงจังนะ อยู่ที่เราจะเลือก เพราะบางทีเวลา 4 เดือนมันนานพอที่สามารถทำให้เราฝึกฝนตัวเองจนกลายเป็นนักข่าวทีวีได้จริง
เอาจริงๆ มันไม่ได้ง่าย แต่ไม่ได้ยากสำหรับคนที่มีความฝันและเป้าหมายชัดเจน ถ้าเราคิดเสมอว่า จุดยืนของเราใช่แล้ว ต่อไปก็แค่เดินตรงไปหาฝันที่เราตั้งไว้ พูดไปเหมือนจะง่าย แต่อย่างน้อยมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นในสายงานนักข่าวทีวีของผมได้จริงๆ จังๆ
"เอ็งจะเขียนนวนิยายมาส่งหรือยังไง เอ็งไม่ดูภาพที่ได้มาเลย แบบนี้ใช้ไม่ได้นะ"
ผมจดจำคำสอนนี้จากพี่ชายคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี เพราะมันได้กลายเป็นทั้งคำสอน และคำด่า ที่ทำให้ผมคิดเสมอว่่า ถ้าผมปรับภาษางานเขียนที่เรียนมา เพื่อเล่าภาพให้คนดูเข้าใจ ผมจะเป็นนักข่าวทีวีได้ตามความฝัน แต่กว่าจะทำได้ทำเป็น มันไม่ได้แค่นั่งเขียนดูภาพนี่ซิ มันมีอะไรที่มากกว่านั้น
"คนเรามันต้องบ้ากันบ้าง"
ผมเริ่มนึกถึงคำเปรยของครูพ่อ ธัญญา สังขพันธานนท์ หรือ ไพฑูลย์ ธัญญา นักเขียนเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์ จากเรื่องก่อกองทราย ปัจจุบันแก คือศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ครูที่เริ่มสอนงานเขียนให้ผมตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัย
![]() |
อ. ธัญญา สังขพันธานนท์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ |
ผมต้องบ้า บ้าเพื่อความฝันของผม ผมเริ่มบ้า
ความบ้าของผมเกิดขึ้นตั้งแต่การเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์ 10 ฉบับต่อวัน อ่านบทข่าวของพี่ๆ วันละ 20 บท การโทรหาแหล่งข่าววันละ 10 กว่าคนในวันเดียว ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่เราทำจะสร้างฝันได้ยังไง? จนกระทั่งความฝันมันเริ่มเดินทางและโบยบิน
ผมเริ่มห้อยติดรถข่าวไปกับพี่นักข่าว มนตรี อุดมพงษ์ หรือ พี่มนตรี ซึ่งปัจจุบัแกเป็นผู้ประกาศข่าวภาคสนามที่รายการข่าว 3 มิติ ช่อง 3 แต่ในอดีตแกคือนักข่าวต้นแบบของผมในรายการประเด็นเด็ด 7 สี และรายการเจาะเกาะติดทางช่อง 7
"สิ่งที่จะทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว คือการสังเกต และจดจำ"
นั่นเป็นคำสอนง่ายๆ จากพี่ชายร่วมสาขาสถาบันเดียวกัน อาจเป็นเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ผมเริ่มยกแกเป็นต้นแบบ เอาง่ายๆ พี่ทำแบบไหน ผมก็ทำแบบนั้น ถ้าพูดง่ายก็คือ เลียนแบบนั่นแหละ
ผมพยายามเลียนแบบพี่มนตรี แม้ว่าจะเลียนแบบได้ไม่เหมือนมาก แต่อย่างน้อยก็เป็นวิธีเรียนรู้ทางลัดที่ผมคิดว่าวิธีนี้ดีสุด จากนั้นผมก็ค่อยๆ เลียนแบบพี่นักข่าวเก่งๆ อีกหลายคน จนพี่ๆ บอกว่า ผมมีลูกบ้า
![]() |
มนตรี อุดมพงษ์ ผู้ประกาศข่าวภาคสนาม รายการข่าว 3 มิติ ช่อง 3 |
กระทั่งปลายปี 2552 หรือประมาณ 8 ปีก่อนหน้านี้ ผมถูกเรียกตัวให้ไปเป็นนักข่าวในบริษัทมีเดียออฟมีเดีย หรือ บริษัทมีเดียสตูดิโอ จำกัด ในปัจจุบัน เท่ากับว่า ผมเป็นทั้งน้องฝึกงาน และได้เป็นพนักงานในบ้านหลังนี้ ทั้งที่ผมยังไม่รับปริญญาด้วยซ้ำไป หนักกว่านั้น คือ ผมยังทำข่าวไม่ค่อยจะเป็นเอาซะเลย
"ถ้าเอ็งเริ่มหาประเด็นได้ เอ็งต้องวางโครเรื่อง และพูดคุยประสานแหล่งข่าวให้ได้ เอ็งไม่ใช่เด็กฝึกงานแล้ว เอ็งจะเล่นๆ ไม่ได้แล้ว เอ็งเป็นพนักงาน เป็นนักข่าวตัวจริงแล้ว ต่อไปงานของเอ็งไม่ได้ทำเก็บไว้ดูเล่น แต่มันต้องได้ออกอากาศ ถ้างานไม่ได้ออกอากาศ นั่นแสดงว่า ข่าวเอ็งไม่เข้าตากองบรรณาธิการ"
ผมรู้สึกกดดันตัวเองเมื่อผู้บริหารเปรยบอกกับผมแบบนั้น เอาจริงๆ ผมไม่ใช่คนกล้าหาญอะไรมาก และยังไม่พร้อมจะลงสู่สนามข่าว ผมยังไม่พร้อม ผมยังคิดว่าผมเป็นน้องฝึกงาน แต่เมื่อคิดถึงความฝัน คิดถึงโอกาสที่พี่ๆได้มอบให้เด็กบ้านๆอย่างผม มันก็ควรจะแลกด้วยความบ้า
ลูกบ้าของผมเดินทางอีกขั้น
"รับแจ้งจาก จส. 100 มีคนร้ายหลบหนีด่านตรวจค้น ขับรถวิ่งหลบหนีไปทางเกษตร-นวมินทร์ ขณะนี้ตำรวจ และอาสาสมัครกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด"
ผมกับพี่วัช อดีตนักข่าวอวุโสรายการประเด็นเด็ด 7 สี กำลังขับรถอยู่บนเส้นทางเกษตร-นวมินทร์พอดี
""ไอ้หิน เอ็งหยิบกล้อง แล้วถ่าย เอาเสียงวิทยุด้วยนะ"
พี่วัชบอกผม ระหว่างที่แกขับรถทำความเร็วประกบท้ายรถตำรวจ และคนร้าย
"แล้วเอ็งทำไมเอากล้องไปจ่อกับลำโพรงวิทยุแบบนั้น ? พี่ให้แกถ่ายข้างหน้า"
"เห็นพี่บอกให้น้องเอาเสียง ผมก็เลยเอากล้องมาจ่อกับลำโพรง"
"มึงนี่มันบ้าจริงๆ เอาภาพด้วยเสียงด้วย มึงไม่จ่อลำโพรงกล้องมันก็เก็บเสียง นี่มันจะถึงแล้ว คนร้ายวิ่งแล้ว ไอ้หินมึงลงวิ่งตามถ่ายเลย วิ่งๆๆๆๆๆๆๆ"
ผมวิ่งตามคนร้าย ที่จอดรถวิ่งหลบหนีไปในป่าหญ้าริมถนน เสียงปืนดังขึ้น ผมถือกล้องชูเหนือหัว มือกดบันทึก ตัวผมแอบติดกำแพงรั้ว หลับตา แต่ภาพที่ได้มา มันกลายเป็นภาพจริง ที่ตำรวจยิงปะทะกับคนร้ายอยู่นาน
![]() |
ธวัช กุลบุตร พิธีกรรายการนักข่าวบ้านนอก ที่ช่อง 3 sd |
"ผมบ้าแล้ว"
ผมจึงใช้ลูกบ้าให้เกิดประโยชน์กับการเป็นนักข่าวตั้งแต่นั้นมา ลูกบ้ากับงาน บ้ากับความฝันของตัวเอง
"คนเรามันต้องบ้ากันบ้าง"
ความคิดเห็น